Feeds:
Posts
Comments

Yesterday I just found out that Sweet Vacation released new album last month. The new album name is Kira Kira Pop!, which is not quite a new album because this album consists of song from 2 albums, ep and other remix version.

Album information

Release date: 24 March 2009

Style: Techno Pop

Label: Victor Entertainment

Tracklisting:

1    Looking For The Future
2    เซ็กซี่ เกิร์ล (Sexy Girl)
3    Speed of Sound(cover:COLDPLAY)
4    Bitter or Sweet
5    Girls & Boys(cover:BLUR)
6    遊びに行こうよ(ASOBI NI IKOUYO)~2nd edition~
7    We love the EARTH(cover:TMN)
8    World Is So Grooving
9    The Goonies ‘r’ Good Enough (cover:Cyndi Lauper)
10    ซัมเมอร์ เดย์ (Summer Day)
11    Material Girl (cover:Madonna)
12    ไอ ฟีล โซ กู๊ด (I feel so good)

<Bonus Track>
13    Sexy Girl (JP Ver.)
14    I feel so good (Toy Piano Mix)

Sweet Vacation is a duo, which consists of Daichi Hayakawa (Sound Producer, Cho, Vocoder) and May (Vox, Icon)

Daichi met May in Bangkok, 2006 when Daichi was travelling around the world to research new style of music. In that time, May was the member of infamous idol group called “Preppy G”. Daichi was impressed by May’s voice and sense. The duo agreed to start making their original music.

About thier music style, I quoted from Sweet Vacation‘s myspace, “Their music is basically pop and is heavily influenced by the latest club music. It also has retro new wave and rave essences, like Trevor Horn. Their sound’s themes are “sweet” and “vacation”. May‘s cute voice and Daichi‘s good sound and their special performance take you into a colorful, dreaming world!!”

After listening thorugh the album, I was catched by one song, which is Summer Day (Ver 1.0). The intro of the song begin with background rythm of piano and percussion. May‘s voice is light and bright, which go along with upbeat music from Daichi. If you like Techno pop music with nice vocal from cute voclaist, Sweet Vacation is the answer.

Here is the official music video from Sweet Vacation.

Enjoy!

PS. After checking from Sweet Vacation official website, I could not find and informatiton about this album. It seems like this album only release in Korean, Taiwan and Thailand. For Thailand edition, you will get 3 songs (Sexy Girl, I Feel So Good and Summer Day (Ver 1.0) in Thai language.

Hi Everybody!

I have been so busy (Finding a job, working, bla bla bla) since I came back from United States. Thus, I did not have any chance to update my blog. However, after I discovered this music group from Thailand. I think I would love to share my aprreciation to their music in my blog.

I found Mellow Motif accidentally when I was reading news from manager website as usual. I usually checked the record recommendation column by Co-Op from manager website, which review new release album from various artists. Last week the author wrote about two jazz album from Thai artists. You can go to read the original post here. (It had been written in Thai.) After reading the column, I tried to search about Mellow Motif whether I could find more information about them.

Mellow Motif consists of Natasha Patamapongs (Vocal, from Bangkok) and Eugene ang (Piano, from Singapore). They started off their group as a Duo when they were in Pittsburgh, PA. Their music is the mix of Jazz/Bossanova and some Brazilian tune. I found their music quite interesting to me since it is very rare to find Jazz music from Major label record like Warner Music.


Their fist single from this album is Lemon Tree, which originally performed by German pop group, Fool’s Garden. To be honest, I used to like Lemon Tree song. However, after it was a big hit in Thailand (I thought in that time I was in high school), I was really hate this song because there were many remix versions (Like Megadance) of this song and DJs always played it in their club. Thus, I thought I was haunted by Lemon Tree song ha ha.

However, after listening this version of Lemon Tree, I feel good about this song again. Mellow Motif arranged this song quite nicely. Eugene mixed his piano arrangment with latin percussion from Ome (From Exotic Percussion Group) very well. Moreover, this song was fullfilled by bright vocal from Natasha, which blended very nicely with the music.

You can see their official Music Video below

You can also visit Mellow Motif Official Website here.

See you next time!

โทษทีที่หายหน้าหายตาไปหลายสัปดาห์เนื่องจากผมได้เดินทางไปเที่ยวที่ Los Angeles เป็นเวลาเกือบ 3 สัปดาห์ และในช่วงที่เดินทางก็ไม่ค่อยสะดวกในการหา Internet ใช้ ประกอบกับความเหนื่อยจากการออกเดินทางและความขี้เกียจของผมเองที่ทำให้ผมยังไม่ได้เขียน Blog นี้มาหลายสัปดาห์หลังจากที่ผมกลับมาจากไปเที่ยว LA ซึ่งผมก็เพิ่งจะได้ฤกษ์หายขี้เกียจมานั่งเขียนซะที

วันนี้ผมขอแนะนำเพลง Pop ในยุค 80’s ของ Debbie Gibson ศิลปินที่ถือว่าเป็น Teen Idol ที่มีคุณภาพในสมัยนั้น เนื่องจากแต่งเพลงเองและเล่น Piano ได้ และเป็นหนึ่งในศิลปินคนโปรดของผมด้วย ซึ่งเมื่อพูดถึง Debbie Gibson คนส่วนมากมักจะนึกถึงเพลง Foolish Beat ซึ่งถือเป็นเพลงเอกจาก Album ชุด Out of The Blue ซึ่งขึ้นถึงอันดับหนึ่ง Billboard Chart ในปี 1988 และถือเป็นเพลงอันดับหนึ่งที่แต่ง, โปรดิวซ์ และอัดเสียง โดยศิลปินที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งสถิตินี้ยังไม่มีใครทำลายได้จนถึงปัจจุบันนี้ (ในตอนนั้นเธอน่าจะมีอายุ 18 ปี เพราะเธอเกิดในปี 1970)

แต่เพลงที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้เป็นเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งเช่นกันแต่ผมคิดว่าเมื่อเทียบกับเพลง Foolish Beat แล้ว ผู้คนทั่วไปน่าจะรู้จักเพลง Foolish Beat มากกว่า ดังนั้นผมเลยขอแนะนำเพลง Lost In Your Eyes จาก Album ชุด Electric Youth ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองที่ออกในปี 1989

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Debbie Gibson เพราะเป็นอัลบั้มที่มีเพลงที่ผมชอบเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับอัลบั้มอื่นๆของเธอ และแทบจะไม่มีเศษเพลงเลย เพลง Lost In Your Eyes ถูกตัดเป็น Single แรกของอัลบั้มนี้และสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งเป็นเวลา 3 สัปดาห์

ผมค่อนข้างจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าเพลงนี้ถูกตัดเป็น Single แรก เพราะโดยปกติแล้วศิลปินส่วนมากมักจะเปิดตัวด้วยเพลงเร็วซะเป็นส่วนมาก อาจจะเป็นเพราะความเพราะของเพลงนี้ก็ได้ที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเพลงนี้เป็น Single เปิดตัว

เรามาเข้าถึงตัวเพลงเลยละกัน เพลงนี้เป็นเพลง Pop ช้าๆ ซึ่งมี Piano เป็นพระเอกของเพลงนี้ โดยเริ่ม Intro จากเสียงเคาะ Piano โดยมี String เข้ามาประสานและเพิ่มมิติให้กับ Intro ก่อนที่จะส่งเข้าท่อนร้อง ซึ่งเสียงร้องของ Debbie นั้นไม่ได้เน้นโชว์พลังแบบนักร้อง Diva ในสมัยนี้ (ซึ่งผมไม่ค่อยจะชอบซักเท่าไหร่ เนื่องจากบางทีฟังแล้วเหนื่อยแทนคนร้อง) เธอจะเน้นร้องตามอารมณ์ของเพลง ซึ่งในฐานะที่แต่งเพลงเองทำให้เธอร้องเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ดีมาก โครงสร้างของเพลงนี้ใช้ Key C โดยใช้ Chord ง่ายๆ แต่ผมว่าโดนเด่นที่การเรียบเรียง Chord และ Melody โดยเฉพาะในท่อน Hook นั้นผมว่าทำให้เพลงขึ้นถึงจุด Peak โดยมีเสียง String และ Guitar เข้ามาประสานและเติมเต็มท่อน Hook ส่วนเสียงกลองที่เป็นเสียง Electronic Drum ที่นิยมใช้ในยุค 80’s นั้นผมว่าก็เข้ากับเพลงดี ถึงแม้ว่าฟังในยุคปัจจุบันอาจจะรู้สีกเชยนิดๆ (แต่โดยส่วนตัวผมนั้นผมว่าก็ไม่เชยเท่าไหร่นะ)

ยังไงก็ลองชม MV และ Concert จาก Youtube ที่แปะไว้ใน Blog ละกันนะครับ

ปล. version concert นั้นอาจจะฟังดูแปร่งๆไปบ้าง เพราะตอนที่เธอเล่น concert นั้นยังเป็นช่วงที่เป็น concert โปรโมทอัลบั้มแรกอยู่ (อัลบั้ม Electric Youth ยังไม่ออกวางขาย) สังเกตได้ว่าไม่มีคนร้องตามเลย เพราะเพิ่งได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรกนั่นเอง

มาเจอกันอีกแล้วนะครับหลังจากที่ผมหายไปประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากผมได้ไปเยี่ยมญาติของผมที่เมือง Austin, Texas มาเมื่อวันที่ 20-27 มีนาคม ที่ผ่านมา โดย trip นี้ผมได้แวะไปหาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมากที่ Dallas มาด้วย ซึ่งก็เป็น trip ที่สนุกมาก เพราะได้ไปสัมผัสบรรยากาศเมือง Cowboy ที่ เมือง Fort Worth ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Dallas ซักเท่าไหร่ หลังจากกลับจากเที่ยวรอบนี้แล้ว ความจริงผมก็ว่าจะเริ่มเขียน Blog เลย แต่พอดีผมได้ลองฟังเพลงจาก website last.fm ซึ่งเป็น web ที่ให้ฟังเพลง Online โดยข้อดีของเวบนี้ก็คือจะมีการติดตามเพลงที่เราฟังจากในเวบหรือจากเครื่องคอมของเรา (ในกรณีหลังต้องลงโปรแกรมของ last.fm ด้วยนะ) และจะทำการแนะนำเพลงที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับเรา โดยเทียบจากประวัติการฟังเพลงของเรา หรือเราสามารถพิมพ์ชื่อศิลปินที่เราชื่นชอบและให้ทำการหา Similar Artists ให้ก็ได้ โดยเวบจะทำการเลือกสุ่มเพลงจากศิลปินอื่นๆที่มีแนวเพลงคล้ายกับศิลปินที่เราชอบ ซึ่งผมได้ลองฟังเพลงโดยวิธีการหา Similar Artists และได้ฟังเพลงดีๆจากศิลปินที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนทำให้ผมรู้สีกว่า Internet มีประโยชน์มาก เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนคงเป็นเรื่องยากที่เราจะได้ฟังเพลงจากศิลปินจากประเทศอื่นๆนอกจากอเมริกา หรืออังกฤษ และผลจากการที่ได้ฟังเพลงใหม่ๆหลายเพลงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าจะเขียนถึงเพลงไหนก่อนดี เพราะผมยังไม่ค่อยรู้จักศิลปินที่เพิ่งได้รู้จักซักเท่าไหร่ ทำให้ผมต้องหาข้อมูลคร่าวๆประกอบก่อนการเขียน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

วง Orange Pekoe เป็นวง Duo ที่ประกอบไปด้วย Kazuma Fujimoto มือกีตาร์และคนเรียบเรียงเพลง และ นักร้องและคนเขียนเนื้อเพลง Tomoko Nagashima

โดยทั้งสองได้ตั้งวงในปี 1998 ในช่วงที่เรียนมหาลัย Kwansei Gakuin ใน Osaka โดยได้ตระเวนเล่นดนตรีตาม ผับและเวทีเล็กๆในเมือง Osaka หลังจากนั้นทางวงได้ออก mini-album ในปี 2001 ที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงโดยออกในนามสังกัดอิสระ ซึ่งได้รับความนิยมตามคลื่นวิทยุชุมชนของ Osaka เป็นอย่างมาก จนทำให้ค่าย BMG Japan สนใจดีงตัวเข้าสังกัด ปัจจุบันทางวงได้ออกผลงานมาทั้งหมด 7 ชุด เป็น Studio อัลบั้ม 5 ชุด แสดงสด 1 ชุด และงาน Remix อีก 1 ชุด

เรามาเข้าถึงเพลง Taiyou No Kakera จากวง Orange Pekoe กันเลยนะครับ เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มชุดแรกของวงที่มีชื่อว่า Organic Plastic Music

(ปกอัลบั้ม Organic Plastic Music)

เพลงนี้ติดหูผมตั้งแต่ท่อนอินโท (และยังเป็นท่อนฮุคของเพลงด้วย) ที่ขึ้นต้นด้วยเสียงฮัมของ Tomoko ที่คลอไปกับเสียง Percussion และ Guitar Classic ของ Kazuma ซึ่งมี Melody ที่โดดเด่นมาก ส่วนตัวเพลงผมว่าออกไปทางแนว Swing ที่มีกลิ่นของ Bossanova เพราะ Bass กับ กลอง เล่นยืนพื้นเป็นจังหวะ Swing แต่พอมีเสียงเครื่องเป่า เสียง Guitar Classic และเครื่องเคาะที่ออกแนว Bossanova ทำให้เพลงมีอารมณ์ของ Bossanova เข้ามาอยู่ในเพลงด้วย

เพลงนี้ผมว่าจุดเด่นอยู่ที่เสียงร้อง เครื่องเป่า เบสและเครื่องเคาะ โดยมี Organ และ Guitar คอยสร้างสีสรรให้กับเพลงทำให้เพลงน่าสนใจมากขึ้น ผมว่าเพลงนี้น่าจะถูกใจหลายๆคนได้อย่างไม่ยาก ผมพยายามหา MV ของเพลงนี้แต่หาไม่เจอ แต่ก็ไปเจอ Version แสดงสดที่ผมว่าก็เล่นกันมันไปอีกแบบนะครับ

ปกอัลบั้ม Live

ส่วนเพื่อนๆที่อยากฟัง Version จากอัลบั้มให้คลิกฟังได้ด้านล่างนะครับ

Taiyo No Kakera

ไว้เจอกันใหม่ครับ

ขอโทษที่หายหน้าไปหลายสัปดาห์นะครับ เกิดอาการขี้เกียจขึ้นมากระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ วันนี้เลยขอชดเชยด้วยการแนะนำเพลง แนว Acoustic ฟังเพลินๆนะครับ วงนี้เป็นวงที่ผมรู้จักโดยความบังเอิญมากๆเลยนะครับ ตอนแรกที่ผมได้ฟังเพลงนี้ผม search หาเพลงแนว Shibuya ในเวบ imeem.com ซึ่งเป็นเวบที่มีสมาชิกสามารถอับโหลดเพลงไว้บนเวบได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถโหลดเพลงได้ โดยผมได้ลองเข้าไปฟังใน Playlist ที่เค้าทำไว้สำหรับเพลงแนว Shibuya music ซึ่งผมก็ได้ฟังเพลง Altogether Alone ของวง Be The Voice ซึ่งทำให้ผมหลงรักวงนี้เข้าเต็มๆเลยครับ

โดยปกติแล้วเนี่ยผมจะชอบวงแนว Duo ที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิงนะครับ ซึ่งวง Be The Voice ก็เข้าข่ายนั้นพอดี ประกอบกับแนวดนตรีที่เป็น  Acoustic ผสมแนว Bossanova ที่ผมชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งชอบมากเข้าไปอีก สมาชิกในวง Be The Voice ประกอบด้วย นักร้องนำ Junko Wada และ มือกีตาร์ Shunji Suzuki

Be The Voice

โดยแนวเพลงหลักๆของวงนี้จะเป็นแนว  Acoustic แต่จะมีการผสมแนวเพลงต่างๆ เช่น Soul, Bossanova  และอื่นๆเข้าไปในแต่ละเพลง ซึ่งทำให้วงนี้มีแนวเพลงที่หลากหลาย วง Be The Voice ได้ออกอัลบั้มทั้งหมดจนถึงตอนนี้ก็ 5 อัลบั้มแล้ว โดยเท่าที่ผมได้เข้าไปในเวบของวงนี้ก็คิดว่าวงนี้จะน่าจะเป็นที่นิยมทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลี เพราะมีให้เลือกอ่านเป็นภาษาเกาหลีด้วย และผมก็เจอ blog ของคนเกาหลีที่เขียนถึงวงนี้เยอะมากๆ

เรามาเข้าถึงตัวเพลงเลยละกันนะครับ เพลง Altogether Alone ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Drawing ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 2 โดยออกในปี 2003 และเป็นเพลงเปิดอัลบั้มด้วย

ซึ่งผมว่าเหมาะมากๆ เพราะเพลงนี้ลงตัวในทุกส่วนทั้งดนตรี เสียงร้อง เสียงของ Junko นั้นผมถือว่าดีมากๆ เสียงใสๆ เข้ากับดนตรีแนว Acoustic และสำเนียงอังกฤษของเธอเนี่ยถ้าไม่บอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นเนี่ยฟังไม่รู้เลยนะครับ เพราะร้องเพลงภาษาอังกฤษได้ชัดมาก เพลงนี้ถ้าฟังแบบผ่านๆจะนึกว่าไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไร น่าจะเป็นเพลงที่เล่นง่ายแต่งง่าย แต่ผมว่าเพลงแบบนี้ละครับที่ยากทั้งแต่งและเล่น เพราะเครื่องดนตรีน้อยชิ้นและเครื่องดนตรีที่เป็น Acoustic ทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถใช้โปรแกรมช่วยในการอัดเสียงได้มากนัก รวมถึงการใส่รายละเอียดในเพลงไม่ให้เพลงฟังดูโล่งจนเกินไป เรียกว่า Back to Basic นั่นเองแหละครับ

โครงหลักของเพลงนี้ก็อยู่ที่ Acoustic guitar ที่เล่นเป็น Rhythm, Percussion และ Double Bass ที่เป็นตัวคอยคุมจังหวะ โดยที่มี Slide Guitar เข้ามาสร้างสีสรรเป็นระยะๆ ประกอบกับเสียงร้องที่สุดยอดของ Junko ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์ในทุกๆด้าน และท่อน Solo ที่ใช้เสียงผิวปากก็เข้ากับอารมณ์เพลงมากๆ รวมไปถึงตอนจบของเพลงที่มีการแอดลิบของ Junko ที่ทำให้เพลงดูน่าสนใจมากขึ้น

Be The Voice 02

ลองเข้าไปชม MV ได้ที่ Youtube นะครับ

ไว้อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่นะครับ

ขอโทษที่หายหน้าไปหลายวันนะครับ เนื่องจากผู้เขียนไม่สบายหนัก เป็นไข้หวัดตั้งแต่ประมาณวันพุธที่ผ่านมา เพิ่งจะมาดีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง วันนี้จะมาแนะนำเพลงช้าๆ เหงาๆ สำหรับคนไกลบ้านละกัน

เพลง Sweet Memories เป็นผลงานเก่าของ Seiko Matsuda ที่เคยร้องไว้ในปี 1983 โดยเพลงต้นฉบับนั้นเป็น Style Pop-Jazz ซึ่งผมคิดว่านะจะเป็นเพลงที่ดังมาก เนื่องจากผมลอง Search หาใน Youtube ก็พบว่ามีคน post video เอาไว้เยอะไปหมด แต่ Version ที่ผมจะแนะนำในวันนี้ร้องโดย Olivia Ong นักร้องสาวชาวสิงคโปร์ ซึ่งไปโด่งดังในญี่ปุ่น โดยเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงในญี่ปุ่นตั้งแต่อายุ 15 และออกอัลบั้มชุดแรกในปี 2005 เมื่อตอนอายุ 19 ตัวเพลงในอัลบั้มนี้เป็นการนำเพลง Jazz และ Bossanova มา cover ใน Style ของเธอเอง โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า A Girl Meets Bossanova

ซึ่งผมคาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเพราะในปีต่อมาก็ได้มีการทำอัลบั้ม A Girl Meets Bossanova 2 ตามออกมาก โดยในอัลบั้มชุดนี้ก็มีเพลง Sweet Memories เป็นเพลงปิดอัลบั้ม

เพลงนี้เป็นเพลง Ballard Jazz ที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศความเหงาของเพลง เครื่องดนตรีหลักของเพลงนี้ก็คือ Piano โดยจะเล่นคลอไปกับเสียงร้องของ Olivia ซึ่งผมถือว่าเล่นได้กลมกลืนและไม่แย่งความโดดเด่นจากเสียงร้อง ส่วนน้ำเสียงของ Olivia นั้นถือว่าได้อารมณ์ความเหงามากๆ ส่วนในท่อนหลังของเพลงก็จะมีเสียงกลอง Style Jazz แทรกเข้ามาเล็กๆเพื่อสร้างสีสรรให้กับเพลง โดยสรุปแล้วเพลงนี้เล่นกันง่ายๆ เครื่องดนตรีน้อยๆ แต่เน้นที่อารมณ์กันสุดๆ

ผมพยายามลองหาคำแปลของเนื้อเพลงนี้ใน google แต่ก็ไม่เจออันที่แปลแบบสมบูรณ์ แต่เพลงนี้มีท่อนที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ท่อนนึงที่ผมว่าคนแต่งแต่งไว้ดีมากนะ

Don’t kiss me baby we can never be
So don’t add more pain
Please don’t hurt me again
I have spent so many nights
Thinking of you longing for your touch
I have once loved you so much

อ่านดูอาจจะยังไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่ลองฟังไปพร้อมกับเพลงดูนะครับ น่าจะได้อารมณ์ตามเนื้อร้อง โดยเฉพาะคำว่า Touch เนี่ยได้อารมณ์จริงๆ

อันนี้เป็น Music Video ที่มีคนทำเอาไว้ใน Youtube

อันนี้เป็น Version Original ของ Seiko Matsuda เอาไว้เปรียบเทียบดูละกันนะครับ

ไว้เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าครับ

กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับ วันนี้ผมอาจจะขอเขียนนอกเรื่องนิดนึงละกันนะ เพราะกำลังเศร้าที่ทีมรัก New England Patriots พ่ายให้กับ New York Giant ใน Super Bowl ครั้งที่ 42 ผมเลยเซ็งมากๆทำเอาไม่อยากดูทีวีไปหลายวัน ผมเลยได้ฤกษ์ขุดกรุซีรีย์ญี่ปุ่นที่โหลดเก็บไว้หลายๆเรื่องมาดูซะที ซีรีย์ที่ผมเลือกมาดูก็พยายามหาเรื่องที่ตลกๆ เพื่อจะได้คลายเศร้าไปบ้าง เลยเลือกเรื่อง Kekkon Dekinai Otoko แปลเป็นไทยได้ว่า ชายผู้ไม่สามารถแต่งงานได้ นำแสดงโดย

Abe Hiroshi ซึ่งผลงานที่ผมเคยผ่านตามาก็มีเรื่อง Dragon Sakura ซึ่งเคยฉายทาง ITV ผมค่อนข้างชอบการแสดงของ Abe จากเรื่องนี้เลยทำให้ลองโหลดเรื่องนี้มาดู ซึ่งก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย โดยตัวพระเอกเป็นชายโสดอายุ 40 ปี มีอาชีพเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงพอสมควร บุคลิกของพระเอกเป็นคนที่ลึกๆแล้วมีจิตใจดี แต่ปากไม่ตรงกับใจ ใช้คำพูดไม่ค่อยเป็นทำให้คนฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีกับคำพูดของเค้าซักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องการทำงานแล้วถือว่าเป็นคนที่ยึดมั่นในแนวทางการทำงานของตนเองมาก โดยเฉพาะแนวคิดที่เน้นการออกแบบครัวเป็นหลักเนื่องจากเป็นพื้นที่ๆสามารถสร้างความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว ค่อนข้างโดนใจผม (เนื่องจากเคยเรียนสถาปัตย์มาหนะ) ส่วนงานอดิเรกของพระเอกนั้นก็คือการทำอาหารและนั่งฟังเพลง Classic

ส่วนเนื้อเรื่องและตัวละครอื่นๆผมขอข้ามไปเลยละกันนะครับ เพราะถ้าเขียนหมดเนี่ยคงจะยาวมากๆ แต่ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองไปหาดูกันนะครับ เพื่อจะแก้เบื่อน้ำเน่าจากละครไทยได้บ้าง ผมรับรองความสนุกเลยนะ เพราะผมใช้เวลาดู 12 ตอนภายในเวลาแค่ 2 วันเอง 🙂 เรื่องนี้มีทั้ง Comedy และ Romance แต่ผมว่าจะเน้นไปทาง Comedy มากกว่านะ

มาเข้าเรื่องหลักของวันนี้เลยละกันนะครับ อาจจะงงๆว่าแล้วซีรีย์เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อ Blog ในวันนี้ เพลงที่จะแนะนำในวันนี้ืคือเพลงเปิดของละครเรื่องนี้นั่นเอง ผมคิดว่าหลายคนคงรู้จักวง Every Little Thing กันมาไม่มากก็น้อย ส่วนตัวผมนั้นเคยฟังเพลงของพวกเค้ามากบ้างแต่ก็ไม่ค่อยอยู่ในความทรงจำซักเท่าไหร่ แต่พอดูละครเรื่องนี้ทำให้ผมถึงกับต้องไปหาเพลงนี้มาฟังเลยนะครับ โดยเพลง Swimmy ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม

Crispy Park ซึ่งถือเป็นผลงานลำดัับที่ 7 ของวง จากรูปปกที่ post จะเห็นว่าวงนี้เป็นวง Duo แต่ความจริงแล้ววงนี้เป็นวง Trio โดยสมาชิกยุคบุกเบิกประกอบไปด้วย Kaori Mochida (นักร้องนำและแต่งเพลง), Ichiro Ito (มือกีตาร์และเรียบเรียงเพลง) และ Mitsuru Igarashi (มือคีย์บอร์ด, โปรดิวเซอร์ และแต่งเพลง) โดย Mitsuru ได้ออกจากวงไปในปี 2000 เพื่อไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหลายๆวง เช่น Dream และ Day After Tomorrow

รูปสมาชิกวงในยุคบุกเบิก

เรามาเข้าถึงตัวเพลงกันเลยดีกว่า เพลงนี้ก็เป็นเพลง J-Pop จังหวะกระชับ ฟังสบายๆนะครับ เพลงนี้สะดุดหูผมตั้งแต่ช่วง Intro แล้ว เพราะ Melody เด่นมากและมีการใช้เสียงของนักร้องนำฮัม Melody แทนการใช้เครื่องดนตรีซึ่งผมคิดว่าเก๋ไปอีกแบบ โครงสร้างของเพลงก็ไม่ซับซ้อนซักเท่าไหร่ ใช้ Key C โดยเล่น Chord ง่ายๆ (อันนี้ผมใช้หูฟังเอานะ ยังไม่ได้ไปเทียบ Key กับเครื่องดนตรีจริงๆ ผิดพลาดยังไงขออภัยด้วยนะครับ) แต่การเรียบเรียง Melody ที่ดีทำให้เพลงน่าสนใจมากขึ้น ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น Acoustic Guitar, keyboard และ Bass ที่เล่นเป็น Background ก็สนับสนุนตัวเพลงได้ดี โดยเฉพาะ Bass ที่ผมว่าสร้างสีสรรให้กับเพลงได้มากเลยนะครับ ส่วนท่อน Hook นั้นผมว่าแปลกดีนะครับ เพราะตอนเริ่มต้นของท่อน Hook นั้นใช้ Melody ที่ต่ำแล้วค่อยไป Peak ในตอนท้ายๆ ซึ่งตอนแรกๆก็ฟังแล้วก็สงสัยว่ามันน่าจะ Peak เร็วกว่านี้ แต่ก็อาจจะเป็นเจตนาของผู้แต่งเพลงที่ต้องการให้ไป Peak ในท่อนหลัง

โดยสรุปแล้วเพลงนี้ผมว่าน่าจะถูกใจหลายๆคนได้ไม่ยาก ผมจะแปะ MV เพลงนี้จาก youtube ไว้ท้ายบทความโดยจะมีทั้ง version ธรรมดาและแสดงสดนะครับ version แสดงสดตัวเพลงจะสั้นลงนะครับ เพราะตัดไปหลายท่อนอยู่เหมือนกัน ผมว่าทั้ง 2 version ไม่ค่อยจะต่างกันเท่าไหร่แต่เหมือนว่า version แสดงสดจะมันกว่านิดนึงนะครับ ไว้เจอกันอาทิตย์หน้าครับ


Live version

PS. แก้ไขเล็กน้อยนะครับ เนื่องจาก MV ใน youtube และ Live version ที่เคย post ใน blog ได้ถูกลบไปเลยเอา Live version จาก Dailymotion มาใส่แทนนะครับ

สัปดาห์นี้ขอเอางานเก่ามาลงอีกครั้งนะครับ ไว้อาทิตย์หน้าจะเขียนงานใหม่แน่นอนครับ

วันนี้ขอแนะนำเพลงสากลเก่าๆกันบ้าง คิดว่าเพื่อนๆคงเคยได้ยินเพลงนี้กันมาบ้าง เพราะเพลงนี้ถือเป็นเพลงที่ฮิตมากๆในยุค 80’s

เพลง Take On Me โดยศิลปินคณะ A-Ha เป็นวงแนว Synth Pop จาก Norway โดยสมาชิกในวงประกอบไปด้วย นักร้องนำ Morten Harket, มือ guitar Paul Waaktaar-Savoy and มือ keyboard Magne Furuholmen โดยเพลงนี้ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มแรกของวงที่ออกในปี 1985 ที่ชื่อว่า “Hunting High And Low” ซึ่งทั้ง 3 คนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้ขิ้นมา

ปกอัลบั้ม Hunting High and Low

อันนี้เป็นปก Single

เพลงนี้ถือเป็นเพลงที่สร้างชื่อให้กับวงนี้มาก โดยขิ้นถึงอันดับ 1 ใน 36 ประเทศ และถือเป็นหนึ่งใน single ที่มียอดขายที่ดีสุดตลอดการ ถึง 9 ล้านแผ่น (อ้างอิง wikipedia)

มาเข้าถึงตัวเพลงกันเลย เนื่องจากเป็นวง Synthpop ดังนั้นจุดเด่นจืงอยู่ที่ Keyboard โดย Intro นั้นมี Melody ที่ติดหูมากๆ (ถึงขนาดที่ในสมัยนั้นเพลงนี้ถูกนำมาประกอบโฆษณาเครื่องสำอางค์ยี่ห้อนืงในไทยด้วย) ส่วนท่อน Hook นั้นก็ติดหูและมีการโชว์ range เสียงของนักร้องที่ขึ้นจากต่ำไปสูง โดยท่อนที่ขึ้นสูงนั้นใช้การร้องแบบหลบเสียงเข้ามาช่วย ซื่งผมถือว่าทำได้ดีมาก (ผมเคยร้องเพลงนี้ในเกม singingstar ของ PS2 ซึ่งพอถึงท่อนนี้ทีไรผมตายทุกทีเลย) โดยภาพรวมของเพลงถือว่าเป็นเพลงที่มีความล้ำมากในสมัยนั้น และเมื่อเรามาฟังในตอนนี้ก็ฟังดูไม่ถือว่าเชย (อันนี้ผมอาจะคิดไปเอง Very Happy)

ส่วนที่โดดเด่นอีกด้านของเพลงนี้คือ music video ครับ โดยเป็นการใช้เทคนิค Rotoscoping ซึ่งเป็นเทคนิคทีีผสมภาพจริงกับภาพการ์ตูน

ภาพบางส่วนจาก MV

โดยเพลงนี้ได้รางวัล MTV music award ในปี 1986 ถึง 6 รางวัล โดยได้ในสาขา Best New Artist in a Video, Best Concept Video, Most Experimental Video, Best Direction in a Video, Best Special Effects in a Video, Viewer’s Choice โดยพลาดรางวัล Music Video of the year ให้กับวง Dire Strait เพลง Money for Nothin’

ปัจจุบันวง A-Ha ก็ยังคงมีผลงานออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่าในสมัย 80’s แต่ก็ยังคงมีแฟนประจำคอยให้การสนับสนุนอยู่

video บน youtube

ไว้โอกาสหน้าเจอกันใหม่ครับ

ช่วงนี้ขอเอาผลงานเขียนเก่าๆที่เคยเขียนในบอร์ดอื่นๆมาลงก่อนนะครับ

วันนี้ขอแนะนำเพลงที่ไม่ใหม่ และไม่เก่าจนเกินไปนัก และคิดว่าเพื่อนๆหลายๆคนคงรูจักเพลงนี้กันแล้ว เพราะเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง Nana ในภาคแรก โดยเพลงนี้มีชื่อว่า Endless Story by Yuna Ito ซึ่งเพลงนี้ก็ได้ถูกบรรจุใจงานเดี่ยวชุดแรกของเธอที่ชื่อว่า Heart ด้วย

ตัวของ Yuna เองนั้นก็รับบทเป็น Reira นักร้องนำของวง Trapnest ในเรื่อง Nana ซึ่งเพลง Endless Story นั่นได้ทำให้ Yuna โด่งดังเป็นอย่างมาก โดยตัว Single นั้นขึ้นอันดับ 2 Oricon chart ในสัปดาห์แรก แต่ไม่สามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ (น่าเสียดายจริงๆ)

เข้ามาพูดถึงตัวเพลงเลยละกันนะ ตอนแรกที่ฟังเพลงนี้ผมนึกว่าเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากลองค้นหาข้อมูลใน Internet ก็พบว่าเพลงนี้เป็นเพลง Cover เพลง If I’m Not In Love With You โดย Dawn Thomas ซึ่งใช้ประกอบภาพยนต์เรื่อง Indecent Proposal ซึ่งนำแสดงโดย Demi Moore (สมัยยังรุ่งๆอยู่) ผมลองพยายามหาเพลงต้นฉบับมาลองฟังแต่ก็หาไม่ได้เลยไม่สามารถเปรียบเทียบกับ Version ที่นำมาทำใหม่ได้ แต่ผมก็คิดว่าต้นฉบับก็คงเพราะไม่แพ้ฉบับ cover เช่นกัน

เพลงนี้เป็นเพลง Pop ที่เด่นที่ Piano และเครื่องสายตั้งแต่ Intro โดยมีการเรียบเรียงเครื่องสายที่สอดรับกับ Melody ของ Piano เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตรงท่อน Hook นั้นมีทางเดินของ Chord ที่น่าสนใจมาก จึงทำให้ท่อน Hook ของเพลง
นั้นทำงานได้อย่างเต็มที่ ส่วนเสียงร้องของ Yuna นั่นก็ไปได้ดีกับตัวดนตรี โดยไม่เด่นมากจนลอยออกมาจากเพลง และก็ไม่น้อยจนโดนกลบไปกับเสียงเครื่องดนตรี อันนี้คงต้องชม Sound Engineer ด้วยที่สามารถปรับแต่งเสียงร้องให้กลมกลืนไปกับภาคดนตรีที่มีความละเอียดสูง และประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีหลายชิ้นโดยเฉพาะเครื่องสายที่ผมถือว่าเป็นหัวใจหลักของเพลงนี้เลย ส่วนท่อน Solo นั้นก็ยังเน้นให้เครื่องสายเป็นพระเอก โดยมี Guitar solo เข้ามาเสริมตอนท้าย ทำให้บทเพลงถูกเติมเต็มจนครบสมบูรณ์

ถ้าท่านใดสนใจอยากฟังเพลงนี้ลองไปดู MV ได้ที่ Youtube นะครับ

เพิ่มเติมอีกนิดแล้วกันนะครับ เนื่องจากว่าผมได้ลอง search ใน youtube แล้วได้เจอเพลงนี้ในอีก Version ที่คิดว่าน่าสนใจมาก เป็น Acoustic concert ที่คิดว่าน่าจะเล่นในวัน Valentine นะครับ (อันนี้เดาจากชื่อ Video) ซึ่ง Yuna ได้นำเพลงนี้มาเล่นในแบบที่แตกต่างออกไปจาก version ปกติ โดยนำมาเรียบเรียงใหม่ในแบบ Bossanova ซึ่งก็เก๋ไปอีกดีนะครับ โดยมีการใช้เสียง Organ มาเล่นแทน Piano ซึ่งก็ทำให้เพลงดูน่ารักขึ้นนะครับ โดยมีเสียงของ Acoustic guitar เล่นเป็น Background อยู่ด้านหลัง ส่วนเสียงร้องของ Yuna นั่นถือว่าร้องได้ดีเหมือนใน Studio เลยแหละครับ แวะเข้าไปดู video ได้ที่ Link ด้านล่างเลยนะครับ

ยังไงหวังว่าเพื่อนๆคงได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ มีความคิดเห็นอย่างไรก็ติชมกันเข้ามาได้นะครับ ไว้ว่างๆถ้ามีโอกาสจะมาแนะนำเพลงเพราะๆอีกนะครับ

พอดีผมได้มีโอกาสดู Series ญึ่ปุ่น เรื่อง Nodame Cantabile ซึ่งเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี Classic ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับ หัวข้อที่จะเขียนในวันนี้ แต่ในละครที่ดูนั้นมีการกล่าวถึงเรื่องเด็กอัจฉริยะทางดนตรีที่จะหยุดการพัฒนาการเมื่อถึงอายุ 20 ปี ซึ่งก็ทำให้ผมนึกถึงวง Rock อัจฉริยะรุ่นเยาว์ Bad4Good ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Steve Vai หนึ่งในมือกีตาร์อันดับต้นๆของโลก

วง Bad4Good รวมตัวกันในปี 1991 โดยมี Steve Vai เป็นโต้โผของ Project Steve Vai มีความคิดที่จะทำวง Rock เด็ก ที่สามารถเล่นดนตรีได้จริงๆจึงได้มีการจัดหานักดนตรีมากความสามารถที่มีอายุน้อยๆมารวมเป็นวง สมาชิกของวงคนแรกน่าจะได้แก่ Thomas McRocklin (อายุ 12 ปี ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Steve Vai และเคยไปเล่น Guitar ใน Music Video เพลง The Audience is listening ของ Steve Vai รวมถึงการเล่นเป็นวงเปิดให้ Ozzy Osbourne มาแล้ว ส่วนสมาชิกคนอื่นก็มีดีกรีติดตัวมาไม่แพ้กัน Danny Cooksey นักร้องนำ (16 ปี) ซึ่งถือว่าเป็นผู้อาวุโสสุดในวง เป็นนักแสดงเด็กซึ่งเคยเล่นเรื่อง The Terminator 2 มาแล้ว (อันนี้ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไหร่เนอะ 🙂 ) Zach Young มือเบส (14 ปี) เป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดที่จบจาก Bass Institute of Technology (BIT) และท้ายสุด Brooks Wackerman (15 ปี) มือกลองที่ได้รับรางวัล Regional Rock and Jazz awards และได้เซ็นสัญญาเป็น Presenter ให้กับกลอง Remo ด้วย

bad4good.jpg

จากซ้ายไปขวา Brooks Wackerman, Zach Young, Danny Cooksey, Thomas McRocklin

เรามาเข้าถึงตัวเพลงเลยละกันเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา โดยเพลง Nineteen เป็นเพลงที่ใช้เปิด album refugee ซึ่งถือเป็นผลงานชุดแรกและชุดสุดท้ายของวง เพลงนี้เป็นเพลงเก่าของ Phil Lynott นักร้องนำและ มือเบสของวง Thin Lizzy ซึ่งผมได้ลองไปฟังแล้ว ก็ต้องถือว่า Bad4Good ค่อนข้างจะเคารพในต้นฉบับพอสมควร โดยคงโครงสร้างหลักของเพลงเอาไว้ และทำการสร้างสีสรรของเพลงให้ร่วมสมัย เสียงร้องของ Danny นั้นถือว่าเกินตัวสำหรับเด็ก 16 ซึ่งผมคิดว่าเข้ากับดนตรี Rock แบบนี้มาก โดยเฉพาะการสำรากในช่วงท้ายของเพลง Guitar ของ Thomas นั้นก็ยอดเยี่ยมมาก ส่วน Bass และกลองนั้นก็หนักแน่นและสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

MV Bad4Good – Nineteen

อันนี้เป็น Version ตันฉบับโดย Phil Lynott

หลังจากที่ออกผลงานไปไม่นาน ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี แต่ล้มเหลวทางด้านยอดขาย ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะช่วงปี 1992 นั้นก็เริ่มเกิดดนตรีแนว Grunge และ Alternative ซึ่งเป็นช่วงที่วงดนตรี Rock รุ่นเก่าๆได้ล้มหายไปจากวงการ Bad4Good ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดนส่วนตัวผมคิดว่าถ้า Bad4Good เกิดก่อนหน้านั้นซัก 10 ปีก็น่าจะสามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้โดยไม่ยาก

หลังจากที่ล้มเหลวทางด้านยอดขาย Thomas ได้ออกจากวงเพื่อไปตั้งวงใหม่ สมาชิกที่เหลือรวมตัวกันและเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Lucy’s Milk แต่ก็ไม่ได้ออกผลงานเพลงออกมา สุดท้ายก็ตัดสินใจยุบวงอย่างเป็นทางการ

Where are they now?

กลับมาเข้าถึงประเด็นที่ผมจั่วหัวไว้ตั้งแต่ตอนต้นที่ว่า “เด็กอัจฉริยะทางดนตรีที่จะหยุดการพัฒนาการเมื่อถึงอายุ 20 ปี” นั้นเป็นความจริงหรือไม่ จากการหาข้อมูลใน Internet ก็พบว่า ไม่มีสมาชิกในวงคนใดที่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีเลย Danny กลับไปเป็นนักแสดง และให้เสียงประกอบการ์ตูนและเกม Zach หันไปเล่นกลองและตั้งวงแนว Electronic Rock กับพี่ชายโดยใช้ชื่อวงว่า Artificial Intelligence ส่วน Brooks ยังคงเล่นดนตรีโดยเล่นให้วง Suicidal Tendencies ในช่วงปี 1997-2001 และในปัจจุบันเป็นมือกลองให้กับวง Bad Religion ที่น่าตกใจมากที่สุดน่าจะเป็น Thomas ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ร้านขายเครื่องดนตรีใน New Castle ซึ่งผมค่อนข้างจะประหลาดใจมาก เนื่องจากเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของวง Bad4Good จาก Quiet Storm โดย Thomas ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตอนที่อัดเพลงๆหนึ่งใน Studio Steve Vai เปิดเทปที่อัดกลับด้าน คือเปิดจากหลังไปหน้า โดยปกติแล้วคนทั่วไปก็คงจะหยุดเทปแล้วกดอัดใหม่ แต่เจ้า Thomas มันเล่น Solo ย้อนหลังให้เข้ากับเทปที่เปิดกลับอัดกลับด้าน ผมเลยค่อนข้างทึ่งกับฝีมือของหมอนี่ในขณะนั้น พอทราบข่าวนี้ก็เลยค่อนข้างตกใจพอสมควร

การไม่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะมาจากปัจจัยหลายอย่างแต่ผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ เนื่องจากการที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในวัยเด็ก อาจจะทำให้ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้มากกว่าที่จะเป็นเมื่อถึงวัยอันควร ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ยังไงก็สามารถ comment มาได้นะครับ